Home Technology มีดีอย่างไร ทำไม? ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

มีดีอย่างไร ทำไม? ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

by Lifeelevated Admin1

มีดีอย่างไร ทำไม? ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

รายงานของสำนักงานพลังงานสากล หรือ International Energy Agency (EIA) คาดการณ์ว่า จำนวนรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า รถตู้ไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้าบนท้องถนนจะเพิ่มเป็น 145 ล้านคันทั่วโลก ภายในปี 2030 และถ้าหากรัฐบาลของประเทศต่างๆ เร่งดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกก็อาจพุ่งสูงขึ้น 230 ล้านคัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายจึงกำลังมองหาวิธีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้มากขึ้น

ขณะที่ BloombergNEF หน่วยงานวิจัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน คาดว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในปี 2030 จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าถึง 28% และสูงถึง 58% ในปี 2040

ประเทศใดบ้าง? ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก

จีน

จีนถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งในตอนนั้นรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่มากนัก แต่ประเทศจีนใช้เงินมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลงทุนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และการสร้างกลยุทธ์เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดโลก

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกามีแผนผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้การนำของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดี คือเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการทำตามเป้าหมาย zero-emission หรือนโยบายปลอดมลพิษ ตั้งเป้าปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ โดยตั้งเป้าหมายให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 40-50% จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030

นอร์เวย์

รัฐบาลของนอร์เวย์มีเป้าหมายและนโยบายชัดเจนคือต้องการเปลี่ยนแปลงให้รถที่ใช้ภายในประเทศมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าให้ได้ทั้งหมดภายในปี 2025 โดยประเทศนอร์เวย์มีรถพลังงานไฟฟ้า 50,000 คัน ตั้งแต่ปี 2015 โดยคุณสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายพอๆ กับรถยนต์น้ำมัน แถมยังได้สิทธิพิเศษจากรัฐมากกว่าอีกต่างหาก เนื่องจากรัฐบาลยังทำการ ละเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรถยนต์ไฟฟ้า จาก 25% ลดลงเหลือ 0% รวมถึง ลดภาษีเงินได้ให้ค่ายรถยนต์ที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ลง 40% เพื่อจูงใจให้ค่ายรถขายรถยนต์ไฟฟ้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และวางขายในราคาที่ถูกลง เป็นการเรียกความจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันแบบเต็มกำลัง

สวีเดน

สวีเดน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนสนใจและซื้อรถพลังไฟฟ้ามาใช้งานคิดเป็นสัดส่วนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยเป้าหมายของประเทศสวีเดนคือประสบความสำเร็จในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคการขนส่งลง 70% ภายในปี 2030 รวมถึงทำให้การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และมีถนนชาร์จไฟรถได้

ไอซ์แลนด์

รัฐบาลไอซ์แลนด์ ได้ประกาศบังคับนโยบายห้ามใช้รถยนต์น้ำมัน จะเริ่มต้นในปี 2030 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการจัดการภาวะโลกร้อน และแน่นอนว่าสิ่งที่จะมาแทนรถยนต์น้ำมันคือรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรัฐวางเป้าว่าภายในปี 2030 จะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้า 950,000 คันวิ่งอยู่บนท้องถนน รวมถึงการออกมาตรการพิเศษบังคับว่า ภายในปี 2025 สถานที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยและมีที่จอดรถเกิน 10 ช่อง จะต้องมีแท่นชาร์จไฟอย่างน้อยหนึ่งแท่น อีกทั้งรัฐยังมีแผนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และมีแผนที่จะลงทุนติดตั้งแท่นชาร์จไฟให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

 

เนเธอร์แลนด์

ความนิยมของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงยังช่วยลดการใช้น้ำมันจนแทบจะไม่มีการใช้น้ำมันเลย ที่สำคัญยังกลายเป็น Blue Ocean สำหรับตลาดรถยนต์ อีกทั้งปัจจัยด้านนโยบายทางภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป และการเพิ่มการให้บริการของสถานีประจุพลังงาน ทำให้เกิดการเข้าถึงและมีความคล่องตัวในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยประเทศเนเธอร์แลนด์ถือว่าเป็นตลาดชั้นนำที่มียอดขายยานยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรป

อันดอร์ร่า

ประเทศเล็กๆ ในยุโรปอย่างอันดอร์ร่า ที่มีประชากรไม่ถึง 80,000 คน แต่ประชาชนในประเทศกลับให้ความสนใจและหันมาซื้อรถพลังไฟฟ้าสูงถึง 5.6 เปอร์เซ็นต์ ของรถทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากที่สุดอันดับ 5 ของโลก โดยกุญแจสำคัญที่ทำให้คนในอันดอร์ร่าหันมาใช้รถพลังไฟฟ้าโดยเฉพาะรถ EV คือการที่รัฐบาลให้สิทธิ์พิเศษของคนที่เปลี่ยนมาใช้รถ EV อาทิ ส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อรถ สิทธิ์การขับในช่องเดินรถสาธารณะ (Bus Lane) สิทธิ์ขับผ่านอุโมงค์ d-Envalira ซึ่งเป็นทางเชื่อมสู่ประเทศฝรั่งเศสฟรี รวมถึงส่วนลดพิเศษค่าไฟในการชาร์จแบตเตอรี

5 เหตุผล ที่ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

  1. ตอบโจทย์ในเรื่องของพลังงานรักษ์โลก เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นจากความต้องการในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมคนเมือง โดยจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าคือการเป็นรถไร้ซึ่งไอเสีย
  2. มีความประหยัดกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันพอสมควร แน่นอนการใช้ไฟฟ้าทำให้มูลค่าพลังงานที่จะเสียต่อหน่วยขับเคลื่อนเปลี่ยนไปและน้อยลง เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ทุกบ้านมีอยู่แล้วในปัจจุบัน การมีรถไฟฟ้า ก็เหมือนกับมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกเครื่อง
  3. ซ่อมและดูแลง่าย เนื่องจากชิ้นส่วนกลไกขับเคลื่อนไม่หลากหลายเท่ารถยนต์ใช้เครื่องยนต์ที่มีความซับซ้อนเชิงกลไกในระบบเครื่องยนต์มากกว่า
  4. ตอบสนองในเรื่องสมรรถนะ เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้ามีแรงบิดหรือแรงหมุนในทันทีที่ได้รับไฟฟ้าไปผลักแกนมอตอร์ให้หมุน หลักการดังกล่าวทำให้รถมอเตอร์ไฟฟ้าเกิดแรงบิดสูงสุดตั้งแต่เริ่มการทำงาน ทำให้รถออกตัวได้เร็ว มีภาวะแบกน้ำหนักน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ เนื่องจากสามารถรีดแรงบิดสูงได้ทันที ไม่ต้องรอรอบ และที่สำคัญ มอเตอร์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ให้แรงบิดสูงมากกว่าเครื่องยนต์
  5. มีชิ้นส่วนน้อยลงกว่ารถยนต์ใช้เครื่องยนต์ในปัจจุบัน การมีเพียงแบตเตอรี มอเตอร์ไฟฟ้า และหน่วยควบคุม เพิ่มเติมเพียงชิ้นส่วนประกอบอื่นๆ เท่านั้น ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อนของชิ้นส่วนมากเท่ารถปัจจุบัน เมื่อชิ้นส่วนน้อยลงต้นทุนการผลิตก็น้อยลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ มาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลในประเทศต่างๆ ที่ว่าด้วยการบังคับใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ลดละเลิกการใช้งานรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วๆ ไป ก็จะเป็นอีกหนึ่งในส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนให้รถไฟฟ้าของส่วนแบ่งหลักๆ ในยอดขายทั้งตลาดได้ในอีก 5 ปีต่อจากนี้

สำหรับโอกาสทางธุรกิจของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยหันมาผลิตรถยนต์หรือชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า จะทำให้ไทยยังคงสามารถรักษาความสามารถที่มีอยู่ และไม่หลุดจากการเป็นห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก และอีกประการคือ ไทยจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และสร้างการอุปโภคบริโภคที่ยั่งยืน

.

.

ติดตาม Life Elevated ได้ที่

Website: www.lifeelevated.club/

Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ

Twitter: @lifeelevatedCLB

Instagram: @lifeelevatedclub

Line OA: @lifeelevatedclub

Blockdit: Lifeelevatedclub

Youtube: Life Elevated Club

Related Articles

Leave a Comment