สงสัย..ปรึกษาใครดี?
ทุกวันนี้ใครๆ ก็หาข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะมีข้อสงสัยหรืออยากรู้เรื่องอะไร ก็แค่เข้าอินเทอร์เน็ต พิมพ์ “คำค้นหา” ที่ต้องการ ก็จะมีข้อมูลขึ้นมาให้เลือกคลิกเข้าไปดูมากมายหลายหน้า
Search Engine (เสิร์ชเอนจิน) หรือโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเวลานี้ ยังไม่มีเจ้าไหนโค่น Google (กูเกิล) ลงได้ โดยนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2540 กูเกิลกลายเป็นเสิร์ชเอนจินที่คนทั่วโลกใช้งานมากที่สุด ทุกนาทีจะมีคนพิมพ์คำค้นหาในกูเกิลราว 3.8 ล้านครั้ง!
โดยข้อมูลจาก Statista.com ระบุว่าเว็บไซต์ Google ครองสัดส่วนทางการตลาดสูงสุด เมื่อทั่วโลกมีผู้ใช้สูงสุดถึง 88.14 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2563) ที่เหลือคือ Bing จากค่าย Microsoft 6.18 เปอร์เซ็นต์ และ Baidu (ไป่ตู้) เสิร์ชเอนจินสัญชาติจีน 0.59 เปอร์เซ็นต์
คนไทยค้นหาข้อมูลผ่าน “กูเกิล” กว่า 99%
ขณะที่ในบ้านเราพบว่าคนไทยใช้กูเกิลค้นหาข้อมูลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เกิน 99 เปอร์เซ็นต์จากเสิร์ชเอนจินทั้งหมด และหากนับเฉพาะเดือน พ.ย. 2563 เดือนเดียว คนไทยค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิลมากถึง 99.23 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลจาก Statcounter.com)
นั่นหมายความว่า “กูเกิล” ไม่ต่างอะไรกับ “สารานุกรม” ที่รวบรวมความรู้ทุกแขนง เพียงแต่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาในห้องสมุดเหมือนอย่างสมัยก่อน แค่เข้าอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ ก็ได้คำตอบที่ต้องการ
“ความช่วยเหลือจากภาครัฐ” คนไทยค้นหามากสุด
หากดูจากคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2563 ที่คนไทยค้นหามากที่สุดใน 10 อันดับแรก พบว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโครงการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลติดอันดับอยู่มากที่สุด ทั้งโครงการเราไม่ทิ้งกัน คนละครึ่ง เยียวยาเกษตรกร เราเที่ยวด้วยกัน และลงทะเบียนรับเงินค่าไฟ
เมื่อเป็นเรื่องปากท้องของประชาชน คนจึงให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ และต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจมองได้ว่าขั้นตอนในการรับความช่วยเหลือมีความซับซ้อน จึงต้องมีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อจะได้ดำเนินการได้อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันก็อาจมองได้ว่าการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐอาจไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรนัก แทนที่จะหาข้อมูลโดยตรงกับหน่วยงานของรัฐ จึงต้องมาค้นหาข้อมูลผ่านกูเกิลแทน
มั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูล “เชื่อถือ” ได้?
ในเมื่อใครๆ เลือกที่จะหาคำตอบในกูเกิล แล้วเราจะมั่นใจกับข้อมูลต่างๆ ที่ค้นเจอได้มากน้อยเพียงใด ในเมื่อข้อมูลยุคนี้เป็นแบบ “Copy-Paste” ไม่ได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากคัดลอกของคนอื่นมาตัดแปะจนแทบหาข้อมูลต้นฉบับที่เขียนไว้ไม่เจอ เพราะก็อปปี้ข้อมูลกันไปมา
นอกจากนี้ กูเกิลยังเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ไม่สามารถกลั่นกรองข่าวเท็จหรือข่าวที่ไม่มีมูลความจริงได้ จนทำให้เกิดความสับสนในการรับข้อมูลข่าวสาร ส่งผลให้กูเกิลต้องเปิดตัวโครงการ Google News Initiative (GNI) เพื่อช่วยในการตรวจสอบข่าวปลอมทางกูเกิล และคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวจริงเท่านั้น
กูเกิลเชื่อได้ แต่ข้อมูล 6 ประเภทนี้ตรวจสอบก่อน!
แม้ว่าอัลกอริทึมของกูเกิลอย่าง “PageRank” จะช่วยตรวจสอบและจัดอันดับความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น แต่ก็อาจมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องสอดแทรกเข้ามาได้เช่นกัน และอาจทำให้เกิดการตีความที่ผิดพลาดได้ ซึ่งเว็บไซต์ MakeUseOf แนะนำไว้ว่าเรื่องที่ละเอียดอ่อนดังต่อไปนี้ ควรระมัดระวังในการเสพข้อมูลและควรตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วนเสียก่อน
– ข้อมูลทางการแพทย์ (Medical Information)
– คำแนะนำทางการเงิน (Financial Advice)
– ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)
– ข่าวด่วน / ข่าวแทรก (Breaking News)
– พิธีกรรม การปฏิบัติทางศาสนา (Religious Practices)
– คำถามที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี (Chemical-Related Queries)
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Wikipedia (วิกิพิเดีย) ก็ควรมีการตรวจสอบด้วยเช่นกัน เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่า ข้อมูลในวิกิพิเดียได้รับการตรวจสอบและเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว ซึ่งแท้ที่จริงนั้น เนื้อหาในวิกิพิเดียไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อมูลได้ ดังนั้น จึงควรตรวจสอบจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อถือได้จะทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกว่า
แล้วเรายังเหลือสิ่งใดที่ค้นหาไม่ได้ในกูเกิล?
ในปี 2016 วิศวกรกูเกิลคนหนึ่งประเมินว่าฐานข้อมูลเสิร์ชเอนจินของกูเกิลมีขนาด 100 petabyte หรือประมาณฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 1TB จำนวน 100,000 อัน แล้วมนุษย์ยังจะเหลืออะไรอีกที่เสิร์ชไม่พบในกูเกิล
ปี 2013 คำว่า ogooglebar (หรือ ungoogleable ในภาษาอังกฤษ) ถูกบัญญัติเป็นคำศัพท์ใหม่ในภาษาสวีเดน ก่อนถูก Google เรียกร้องให้ถอนออกด้วยเหตุผลทางลิขสิทธิ์เพื่อปกป้องเครื่องหมายการค้า โดยทาง Language Council of Sweden ต้องถอนคำว่า ungoogleable ออกไปจากลิสต์คำใหม่ จนเกิดเป็นคำถามที่ว่า ใครกันแน่คือผู้ตัดสินใจว่าคำไหนควรมีอยู่ในภาษาใด สภาแห่งภาษา บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้เป็นเจ้าของชื่อ หรือว่าผู้ใช้
มีการประเมินว่าสิ่งที่เราค้นพบด้วยกูเกิลนั้นเป็นเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของโลกอินเทอร์เน็ตทั้งมวล สิ่งที่ยังซ่อนอาจมีสัดส่วนถึง 70-90 เปอร์เซ็นต์ ถูกเรียกว่า deep web ซึ่งเป็นดินแดนลับแลอันตรายของคนเล่นอินเทอร์เน็ต หากสืบค้นลงไปลึกพอ เราอาจจะพบด้านมืดของอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บค้ายาเสพติด บริการทำพาสปอร์ตปลอม วิธีทำระเบิดเองที่บ้าน (สำหรับก่อการร้าย) หนังโป๊ที่ผิดกฎหมาย หรือกระทั่งการค้ามนุษย์ เพราะกูเกิลนั้นมี regulation system ที่เกือบจะสมบูรณ์
เราอาจรู้สึกว่าความรู้ของทั้งโลกอยู่ที่ปลายนิ้วและฝ่ามือ แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะลองเสิร์ชด้วยคีย์เวิร์ดอะไร ดังนั้เราควรรำลึกอยู่เสมอว่าตัวเองอาจไม่ได้ฉลาดและรอบรู้ เราแค่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แค่นั้นเอง และคำถามสำคัญในชีวิตของเรา
อาจยังมีมากมายหลากหลาย “คำถาม” ที่ยังไม่มี “คำตอบ” ?
.
.
ติดตาม Life Elevated ได้ที่
Website: www.lifeelevated.club/
Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ
Twitter: @_lifeelevated_
Instagram: @lifeelevatedclub
Line OA: @Lifeelevated
Blockdit: Life Elevated
.
.
#LifeElevated #Google #SearchEngine #กูเกิล #หาคำตอบ
.
.
อ้างอิง : statista.com / statcounter.com / wsj.com / makeuseof.com
https://adaymagazine.com/ungoogleable-word/
https://bit.ly/3qMjEAf
https://www.techhub.in.th/how-to-use-google-pro-style-2019-v2/
https://bit.ly/3sUvSbS
https://bit.ly/39W6bPL
https://bit.ly/368dVNp