Home Family เรียนออนไลน์อย่างไร? ให้ “เด็ก” มีพัฒนาการ

เรียนออนไลน์อย่างไร? ให้ “เด็ก” มีพัฒนาการ

by Lifeelevated Admin2

มาตรการความปลอดภัยจาก COVID-19 เป็นสิ่งจำเป็นมาก ถ้าจะเปิดเทอมต้องมีมาตรการเข้มข้นในการรับมือที่เข้มข้นด้วย

อย่างไรก็ดี การเตรียมสำหรับการเรียนออนไลน์ก็ยังมีความจำเป็น เพราะถึงที่สุดแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เรื่อง COVID-19 ในบ้านเราจะไปถึงจุดไหน ฉะนั้นการเตรียมการไว้ก่อนจึงจำเป็น

แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงเด็กเล็กด้วยว่าจะเรียนออนไลน์แบบไหนจึงเหมาะสม ?

ที่ผ่านมาในวงวิชาการการศึกษาปฐมวัยได้มีการให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีกับเด็กปฐมวัยมีทั้งข้อดีและข้อด้อยและพยายามให้เด็กวัยนี้หลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยีโดยไม่จำเป็น

ข้อมูลที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงเสมอจาก The National Association for the Education of Young Children และ Fred Rogers Center for Early Leaning and Children’s Media at Saint Vincent College (NAEYC & the Fred Rogers Center, 2012) ยืนยันว่า การใช้เทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ ดีวีดี และเกม กับเด็กแรกเกิดจนกระทั่งถึง 8 ปี จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในเรื่องความคิด สติปัญญา และอารมณ์ แต่ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขว่า จะต้องใช้อย่างถูกวิธีตามความเหมาะสม และความสามารถของครูปฐมวัยและผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาของเด็กปฐมวัยในยุคปัจจุบัน

ดังนั้นการที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้กับเด็ก สิ่งที่ต้องคำนึงคือ วิธีการเลือกเครื่องมือ และแอพพลิเคชั่น เครื่องมือที่นำมาใช้ในเรื่องการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีนั้นต้องช่วยให้เด็กสามารถค้นคว้า สร้างโอกาส และต้องส่งเสริมให้เด็กมีทางเลือกในการสร้างจินตนาการ และแก้ปัญหาด้วยตนเอง

หากให้เด็กใช้โดยปราศจากการควบคุมดูแลของผู้ใหญ่ หรือใช้มากเกินไป หรือใช้ไม่เหมาะสมกับวัยของเด็กก็จะกลายเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้และคุณภาพชีวิตของเด็กในด้านต่างๆ ได้

ฉะนั้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงเรื่อง “เนื้อหา” การเรียนออนไลน์ในเด็กเล็ก

  1. เนื้อหาต้องสนับสนุนพัฒนาการเด็ก

การนำเทคโนโลยีมาใช้กับเด็กปฐมวัยนั้นต้องพิจารณาในหลักของความสอดคล้องกับหลักการสนับสนุนพัฒนาการของเด็ก ครูต้องใช้ดุลยพินิจในการนำมาใช้ให้เหมาะสม คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบททางสังคมของเด็กด้วยและควรจะต้องบูรณาการกับเครื่องมืออื่นๆ ในลักษณะของการเสริมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ และใช้เป็นสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก

  1. เสริมสร้าง Cognitive Skill

เนื้อหาจะต้องช่วยพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและทางสังคมควบคู่กันไปซึ่งต้องเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมสุขภาพ หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของเด็ก เช่น พฤติกรรมการกิน การนอน หรือการออกกำลัง ที่มีผลต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญา (Cognitive skill) โดยในปี 2016 Pooja S.Tandon และคณะ ได้รวบรวมองค์ความรู้ และผลการศึกษาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวไว้ในบทความวิชาการเรื่อง “The relationship between physical activity and diet and young children’s cognitive development” ซึ่งถือเป็นการวางกรอบความคิด (Framework) ในการศึกษาด้านพัฒนาการสมองที่มีความครอบคลุมปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเด็ก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และนำมาซึ่งพัฒนาการทางสมองของเด็กที่ต่างกันไป

  1. วัตถุประสงค์ของครูต้องชัดเจน

ครูจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของเนื้อหาและสิ่งที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้อย่างชัดเจน คือให้เป็นเสมือนเครื่องมือที่สนับสนุนการเรียนรู้ แต่มิใช่นำมาใช้ในลักษณะของการเป็นบทเรียน หรือ สาระความรู้ที่ผู้เรียนต้องเรียนอย่างเคร่งเครียด แต่ต้องคำนึงถึงวัย และเลือกใช้สื่ออื่นๆ ที่เหมาะสมเป็นตัวช่วยด้วย

  1. ครูและผู้ปกครองต้องอยู่ด้วย

คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือช่วยการเรียนรู้ การให้เด็กเรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์จะต้องมีครูและผู้ปกครองอยู่ด้วยทุกครั้งและตลอดเวลา เพื่อให้คำชี้แนะที่เหมาะสม

  1. ซอฟต์แวร์ต้องเหมาะกับวัย

จุดประสงค์หลักของการผลิตซอฟแวร์สำหรับเด็ก จะไม่เน้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้เฉพาะเนื้อหาอย่างเดียวแต่ต้องสนุกกับการเรียนนั้นด้วย และต้องคำนึงถึงสื่อผสม (Multimedia) หมายถึง การใช้สื่อหลายๆแบบประกอบกันมีทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพที่เคลื่อนไหวได้ มีเสียง

ความแตกต่างของโทรทัศน์กับสื่อผสมต่างกันตรงที่การเรียนจากโทรทัศน์เป็นการเรียนแบบรับ (Passive) ขณะที่เรียนจากสื่อผสมคอมพิวเตอร์เป็นการเรียนแบบตอบโต้ (Active) ที่เด็กสามารถมีปฏิกิริยาตอบโต้ได้ในขณะเรียน ซึ่งการเรียนกับโทรทัศน์เด็กจะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวไม่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ได้ดังนั้นการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์(Interactive learning) มีความสำคัญสำหรับเด็กวัยนี้มากเด็กจะเรียนรู้ได้สนุกกว่าโทรทัศน์ และเด็กสามารถควบคุมการเรียนรู้ในขณะที่เรียน ซึ่งเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดการอยากรู้อยากเห็น และตอบโจทย์การสร้างจินตนาการได้ด้วย

  1. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการเรียน

สภาพแวดล้อมการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ไม่ใช่เฉพาะการนั่งเรียนหน้าจอเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีกิจกรรมเสริมนอกจอด้วยกิจกรรมต่างๆที่ครูควรจัดขึ้น เพราะคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือเสริมกิจกรรมและหลักสูตร ไม่ใช่สิ่งทดแทนการเรียนการสอนทั้งหมดของครู

  1. ต้องยืดหยุ่น

สิ่งสำคัญอย่าเล็งผลเลิศ และต้องไม่ให้เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอนานเกินไปหรือถ้าเด็กยังไม่พร้อมที่จะเรียนในช่วงเวลานั้น ก็ต้องยืดหยุ่น ไม่ควรบังคับ แต่ใช้วิธีโน้มน้าว สร้างแรงจูงใจ ซึ่งถ้ารูปแบบการเรียนการสอนสนุกสนาน เด็กก็จะไม่เกิดความเบื่อหน่าย และอยากเรียนรู้ด้วย

ท่ามกลางวิกฤติ COVID-19 ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ห่วงใยคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยเด็กเล็ก พ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในสถานที่หรือมีภาวะเสี่ยง แต่ก็เป็นห่วงเรื่องการเรียนของลูก แม้จนถึงขณะนี้ยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกมากมาย แต่ก็อยากให้คิดด้วยว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แต่เป็นสถานการณ์พิเศษแบบกะทันหันที่ทำให้ทุกคนต้องปรับตัว และปรับตามสถานการณ์

 

ติดตาม Life Elevated ได้ที่

Website: www.lifeelevated.club/

Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ

Twitter: @_lifeelevated_

Instagram: @lifeelevatedclub

Line OA: @Lifeelevated

Blockdit: Life Elevated

Related Articles

Leave a Comment