เทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรง หลายๆ คนจึงพยายามสรรหาสิ่งดีๆ ให้แก่ร่างกายในการดูแลสุขภาพ อาหารเสริมจึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม แต่คุณจะทราบได้อย่างไรว่าอาหารเสริมแบบไหนดี วิตามินแบบไหนเหมาะกับคุณ แล้ววิตามินแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร หรือแม้กระทั่งความเข้าใจผิดเรื่องน้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา
เรามักจะต้องเคยได้ยินทั้ง น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา กันบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า น้ำมันปลากับน้ำมันตับปลานั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร ให้สรรพคุณที่เหมือนกันหรือไม่ แล้วอาหารเสริมทั้งสองอย่างนี้ อย่างไหนดีกว่ากัน Life Elevated มีข้อมูลความแตกต่างของน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลามาฝาก
“น้ำมันปลา” คืออะไร
น้ำมันปลา (Fish Oil) คือ อาหารเสริมที่ได้รับการสกัดมาจากอวัยวะของปลา โดยสกัดจากบริเวณหนังปลา หัวปลา เนื้อปลา และหางปลา ซึ่งมักจะสกัดจากปลาจำพวก ปลาแมคเคอรอล ปลาแฮร์ริ่ง ปลาแอนโชวี่ ปลาทูน่า เป็นต้น สารอาหารสำคัญของน้ำมันปลานั่นก็คือ สารโอเมก้า 3 ที่มีส่วนช่วยในการป้องกันความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ และโอเมก้า 3 ที่ได้จากปลาและน้ำมันปลา ยังถือว่าเป็นโอเมก้า 3 ที่ดีกว่าการกินผักและผลไม้อีกด้วย
ประเภทโอเมก้า 3 ในน้ำมันปลา ประกอบไปด้วย
- กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ EPA
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ DHA
- กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid) หรือ ALA
สารอาหารเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
น้ำมันตับปลา คืออะไร
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil) เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่มีการสกัดมาจากปลาเช่นเดียวกับน้ำมันปลา แต่น้ำมันตับปลาจะสกัดจากบริเวณที่เป็นตับของปลาจำพวก ปลาทูน่า ปลาเทราต์ ปลาแซลมอน ปลาแฮร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล ปลาค็อด เป็นต้น
นอกจากน้ำมันปลาแล้ว น้ำมันตับปลาก็เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยสารโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ อาทิ
- กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid) หรือ EPA
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid) หรือ DHA
ที่สำคัญ น้ำมันตับปลา ยังให้สารอาหารประเภทวิตามินในระดับที่สูงอย่าง วิตามินเอ และ วิตามินดี ด้วย
น้ำมันปลา กับ น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของอาหารเสริมทั้งสองชนิดที่มีชื่อเกือบจะคล้ายกันนั้น เริ่มจากความแตกต่างของกระบวนการในการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารเสริม นั่นก็คือ
- น้ำมันปลาจะสกัดจากบริเวณเนื้อ หนัง หาง และหัวของปลา ในขณะที่น้ำมันตับปลานั้นจะสกัดแค่เพียงจากส่วนตับของปลาเท่านั้น
- น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา เป็นแหล่งของสารโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ทั้งคู่ แต่น้ำมันตับปลาให้สารอาหารที่มากกว่าโอเมก้า 3 นั่นคือ มีวิตามินเอและวิตามินดีร่วมด้วย ซึ่งน้ำมันปลาไม่ได้ให้วิตามินในส่วนนี้
สำหรับผู้ที่ต้องการให้ร่างกายได้รับสารอาหารเสริมประเภทโอเมก้า 3 (Omega 3) การรับประทานน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลาถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและสามารถทำได้ เพราะเป็นอาหารเสริมที่มีสรรพคุณให้โอเมก้า 3 โดยตรงและโอเมก้า 3 ที่ได้จากน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลา ก็ยังถือว่าดีกว่าโอเมก้า 3 ที่ได้จากพืชอีกด้วย
แต่ถ้าหากต้องเลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจจะต้องแยกตามความต้องการของร่างกาย หากต้องการเพียงโอเมก้า 3 จะเลือกน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลาก็ได้ แต่ถ้าร่างกายมีการขาดแคลนวิตามิน หรือต้องการเสริมวิตามินเอและวิตามินดีให้ร่างกาย การกินน้ำมันตับปลาก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
กินมากไปอาจเกิดอันตราย
น้ำมันปลา
ในกรณีต้องการรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรรับประทานในปริมาณที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ และไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาในปริมาณมากเกินไป เพราะทำให้มีเลือดออกและเลือดไม่แข็งตัวได้ และหากมีโรคประจำตัว อาทิ โรคหัวใจ หรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับไขมันเลือด ควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมด้วย
น้ำมันตับปลา
วิตามินเอและวิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้ในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้มีการสะสมและเพิ่มระดับวิตามินในเลือด จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากระดับวิตามินที่สูงมาก และก่อให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอในปริมาณมาก อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือทารกพิการแต่กำเนิดได้
.
.
ติดตาม Life Elevated ได้ที่
Website: www.lifeelevated.club/
Facebook: Life Elevated ชีวิตยกระดับ
Twitter: @_lifeelevated_
Instagram: @lifeelevatedclub
Line OA: @Lifeelevated
Blockdit: Life Elevated
.
.
#LifeElevated #น้ำมันปลา #น้ำมันตับปลา #FishOil #CodLiverOil
.
.
อ้างอิง
https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=1998
https://www.sanook.com/men/899/
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/678187