“The Greatest Inspiration is the Deadline” แรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือวันส่งงาน
ทำไมต้อง Deadline?
การมีอยู่ของเดดไลน์ ช่วยทำให้เรารู้ว่าเป้าหมายของงานนี้คืออะไร ต้องไปจบลงที่ไหนและเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงการวางแผนขั้นตอนการทำงานด้วย เมื่อเราเห็นปลายทางแล้วว่าจะต้องไปหยุดอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ จะช่วยให้เราประมวลผลง่ายขึ้นว่าควรจะทำขั้นตอนนี้ ในตอนไหน ขั้นตอนต่อไป ในตอนไหน และนั่นหมายถึงความรับผิดชอบของเราในฐานะเจ้าของงานด้วยเช่นกัน
เดดไลน์ช่างน่ากลัว แต่เราก็ยังเห็นหลายคนที่ชอบทำงานแบบใกล้ๆ เดดไลน์ ใกล้มาก ใกล้น้อย ตามอัธยาศัย ทำไมคนเราถึงทำแบบนั้นกันนะ?
ไนรา ไลเบอร์แมน (Nira Liberman) นักจิตวิทยาสังคมจาก Tel Aviv University ได้ศึกษาเรื่องนี้และยกตัวอย่างไว้ว่า เธอเปรียบเทียบเรื่องนี้กับการอ่านหนังสือสิบบท เราต้องไล่จากบทที่หนึ่งไปถึงบทสุดท้าย พอถึงบทที่สิบ เหลือแค่ไม่กี่พารากราฟก็จะจบแล้ว เรามักจะมีแรงพลังจากไหนไม่มีใครรู้ ผลักดันให้เราเหยียบคันเร่งการอ่านมิดไมล์ ไปยังพารากราฟสุดท้ายเหมือนขึ้นทางด่วน เพราะจุดหมายอยู่แค่เอื้อม
“เดดไลน์” ก็เช่นกัน เหมือนมีนิ้วคอยดันหลังให้เราเดินหน้าแบบหยุดเสียไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งใกล้เรายิ่งมีไฟในการทำงาน เพราะจะต้องส่งแล้วน่ะสิ แต่แนวคิดนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคน หากเราทำสำเร็จ เสร็จก่อนเดดไลน์ ได้งานตามมาตรฐาน เราอาจจะกลายเป็นอัจฉริยะข้ามคืน แต่ถ้างานเสร็จแต่ยุ่ยยับเหมือนผ้ายัดไว้ เราจะกลายเป็นคนชุ่ย ทำงานส่งๆ ร้ายที่สุด คือทำเสร็จไม่ทันเวลา เราจะกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ
ยิ่งความเสี่ยงสูง ราคาที่ต้องจ่ายก็ยิ่งแพง ฉะนั้นหากอยู่ในวงการรักงานเร่ง ก็ต้องรู้ลิมิตตัวเองด้วยเช่นกันว่าเราจะทำทันเวลาไหม และคุณภาพของงานจะยังคงเดิมหรือเปล่า ถ้ายังไปไม่ถึงจุดอัจฉริยะข้ามคืน อยากรู้อยากลอง หรือมีเหตุจำเป็นให้ต้องท้าทายอำนาจเดดไลน์ มาเรียนรู้การทำงานแบบเดดไลน์กับ Life Elevated ก่อนเดดไลน์จริงจะมาถึง
มองหาเดดไลน์ แล้วแพลนให้ดี
สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้ Ability ของตัวเองว่า เราใช้เวลากับงานชิ้นนี้เท่าไหร่ ทำแบบหลวมๆ ไม่ต้องเร่ง ใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วแบบเร่งสปีดสุดชีวิตล่ะ ใช้เวลาเท่าไหร่ ทดเลขนั้นไว้ในใจ แล้วไปหาที่ลงกันดีกว่า
สมมุติว่าวันศุกร์นี้ คือวันที่ต้องส่งงานชิ้นนี้ ลองเอาเวลาที่ต้องใช้ทำงานไปแปะในช่วงเวลาก่อนวันศุกร์ แบบไหนเป็นไปได้มากที่สุด ยิ่งเดดไลน์สั้นลง เราก็ต้องเร่งสปีดมากขึ้น วางแผนให้ดี
เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม
เมื่อรู้แล้วว่างานต้องเสร็จะพร้อมเสิร์ฟในวันไหน เมนูอะไร อย่าลืมวางแผนว่า จะต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง และเตรียมไว้ให้พร้อมก่อนลงมือทำ เพราะถ้าหากอยากท้าทายเวลา เราไม่อาจเสียเวลาไปกับขั้นตอนเล็กน้อยได้ และเตรียมสิ่งที่จำเป็นในการทำงานไว้ก่อน เช่น ข้อมูลอ้างอิง เนื้อหา หรืออะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาต้องลงมือปรุงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสาละวนกับการค้นตู้เย็น จนเสียเวลาการปรุงไปอีกหลายส่วน
ทำตัวให้ว่างสำหรับงานที่จำเป็น
จะส่งงานไวๆ นี้แล้ว แต่ยังวนเวียนอยู่กับงานอื่นที่ไม่เร่งด่วนนัก ไม่ได้สำคัญเท่างานนี้ หรือมัวแต่ทำกิจกรรมอื่นๆ ตามใจฉัน รีบเคลียร์ตัวเองให้ว่างสำหรับงานที่จะมาถึงก่อนดีกว่า แม้จะไม่อยากทำแค่ไหน แต่การลำดับความสำคัญของงานก็ควรมาอันดับหนึ่ง ไม่งั้นเราอาจจะกลายเป็นกระต่ายที่มัวหลับข้างทาง จนเส้นชัยวิ่งมาปลุกเราแทนก็ได้
มีเดดไลน์ให้ตัวเอง ก่อนที่ของจริงจะมาถึง
แม้ว่าจะมีเดดไลน์ตัวเป็นๆ รออยู่ข้างหน้า แต่อย่าให้ถึงขนาดที่เสร็จปุ๊บส่งปั๊บแบบไม่ได้ตรวจทานอะไรเลย เพราะเราอาจบกพร่องเรื่องคุณภาพไป โดยไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าอาจผิดพลาดไปตรงไหน ลองหาเดดไลน์ให้ตัวเองก่อนเวลาจริงมาถึง เหตุการณ์เดิม ส่งงานวันศุกร์ เราให้ตัวเองช้าสุดได้ตอนไหน สักคืนวันพฤหัสบดีไหม แบบไม่ข้ามไปคืนวันศุกร์ อะไรทำนองนี้ จะช่วยให้เราไม่ต้องเหยียบเส้นยาแดงผ่าแปดจนเกินไป
หวังว่าต่อจากนี้คุณจะรัก Deadline มากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็อย่าปล่อยให้การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน เป็นหน้าที่ของ Deadline เพียงอย่างเดียวล่ะ
อ้างอิง
https://www.the101.world/the-important-of-deadline/
https://thematter.co/thinkers/deadline/37654
https://www.mangozero.com/5-trick-you-can-win-deadline/
https://thematter.co/social/deadline-is-faster-than-karma/127777
https://storylog.co/story/5eae58223c4c6d4421bfa295
https://www.unlockmen.com/deadline-is-good/
https://www.choojaiproject.org/2016/11/talking-about-deadline/